ขณะที่เขียนไล่ไปทีละสถานที่และกะจะจบลงภายในบทความเดียว แต่ผมก็รู้สึกว่ายิ่งเขียนยิ่งยาว ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าทวีปของเรามีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญและมีชื่อเสียงเยอะมาก จนผมหาทางออกจากแผ่นดินอาหรับไม่เจอซะที ครั้นจะเขียนแค่สองสามแห่งก็ตะขิดตะขวงใจ ผมเลยตัดออกมาเป็นภาคซะเลยจะดีกว่า เพราะทวีปของเรามันช่างยิ่งใหญ่อลังการเกินกว่าจะเขียนให้จบได้ในบทความเดียวจริงๆ
สุเหร่าโซเฟีย นครอิสตันบูล ประเทศตุรกี
ปัจจุบันนี้ สุเหร่าโซเฟียไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจแล้ว เพราะเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์แทน ชื่อในภาษาตุรกีออกเสียงว่า อายาโซเฟีย (Ayasofya) โดยคำว่า อายา แปลว่า โบสถ์,สุเหร่า ส่วนคำว่า โซเฟีย แปลว่า ปัญญา รวมกันจึงหมายความว่า สุเหร่า(โบสถ์)แห่งปัญญา
สุเหร่าโซเฟียเป็นสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทน์ มีจุดเด่นอยู่ตรงยอดโดมขนาดใหญ่ ในอดีตเมื่อครั้งแรกสร้างเคยเป็นโบสถ์ในคริสศาสนานิกายออร์โธดอกซ์มาก่อน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1075 ในรัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ บนพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นที่ตั้งโบสถ์มาก่อนถึง 2 หลัง แต่ได้พังทลายลงไปเนื่องจากการจราจล และเพลิงไหม้ตามลำดับ
ได้รับการออกแบบโดยนักฟิสิกส์ชื่อ อิสิโดโรสแห่งมิเลตุส และนักคณิตศาสตร์ชื่อ แอนเทมิอุสแห่งทราเรส สำหรับวัสดุในการก่อสร้างนำมาจากทั่วจักรวรรดิ อาทิ เสาแบบเฮเลนิสติกจากวิหารอาร์ทีมิส หินเนื้อดอกจากอิยิปต์ หินอ่อนเขียวจากแคว้นเทสซาลี หินสีดำจากบอสฟอรัส หินเหลืองจากซีเรีย และใช้แรงงานในการก่อสร้างกว่า 10,000 คน การก่อสร้างใช้เวลาเพียง 5 ปีก็แล้วเสร็จ มีการเปิดโบสถ์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.1080
หลังจากนั้นโบสถ์แห่งนี้ก็ต้องประสบกับแผ่นดินไหว และเพลิงไหม้อยู่เสมอๆ แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอเช่นกัน จนกระทั่งจักรวรรดิออตโตมันพิชิตจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ในปี พ.ศ.1996 สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 จึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่า โดยย้ายสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ออกไป และแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ของอิสลาม สุเหร่าโซเฟียเป็นสุเหร่าหลักของอิสตันบูลมากว่า 500 ปีจน จนใน พ.ศ.2478 สุเหร่าโซเฟียก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์โดยสาธารณรัฐตุรกีจนถึงปัจจุบัน